
เมื่อพบว่ามีผู้กระทำผิดกฎหมายที่อยู่ภายใต้ความรับผิดชอบของ ก.ล.ต. (เช่น กฎหมายหลักทรัพย์ กฎหมายการประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล และกฎหมายสัญญาซื้อขายล่วงหน้า) ก.ล.ต. จะมีช่องทางต่างๆ ในการบังคับใช้กฎหมายเพื่อดำเนินการกับผู้กระทำผิดนั้น ในหลายรูปแบบ ดังนี้
>> การดำเนินการทางปกครอง <<
เป็นการใช้อำนาจในการควบคุมและบังคับใช้กฎระเบียบ เช่น การสั่งพัก เพิกถอน เพื่อให้บุคคลนั้นไม่สามารถทำหน้าที่ต่อไปได้
หากกรรมการ ผู้บริหาร ของบริษัทที่ออกหลักทรัพย์ มีลักษณะขาดความน่าไว้วางใจ เช่น มีพฤติกรรมที่เป็นลักษณะความผิดตามกฎหมายหลักทรัพย์ จะต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่ในช่วงเวลาที่กำหนด
สำหรับบุคลากรในตลาดทุน เช่น ที่ปรึกษาทางการเงิน ผู้ประเมินมูลค่าทรัพย์สิน และผู้สอบบัญชีในตลาดทุน
หากไม่ปฏิบัติตามหน้าที่และขอบเขตการดำเนินงานที่กำหนดตามเกณฑ์ ก.ล.ต. เช่น บกพร่องในการปฏิบัติหน้าที่ ก.ล.ต. อาจจะสั่งพัก หรือเพิกถอนการให้ความเห็นชอบของบุคคลนั้น ทำให้บุคคลดังกล่าวไม่สามารถทำหน้าที่ต่อไปได้
ทั้งนี้ ผู้ถูกลงโทษทางปกครองมีสิทธิที่จะอุทธรณ์คำสั่งนั้นได้
>>การดำเนินการทางอาญา <<
เป็นกระบวนการที่ใช้บังคับกับบุคคลที่ทำผิดกฎหมายที่ ก.ล.ต. กำกับดูแล โดยมี 2 วิธีหลัก ได้แก่
- การเปรียบเทียบปรับ สำหรับความผิดบางประเภทที่กฎหมายอนุญาตให้เปรียบเทียบปรับได้ เช่น การส่งงบการเงินล่าช้า คณะกรรมการเปรียบเทียบ ซึ่งประกอบด้วย ผู้แทนสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ธนาคารแห่งประเทศไทย และสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง จะเป็นผู้กำหนดค่าปรับ
- การดำเนินคดีอาญา ก.ล.ต. จะกล่าวโทษผู้กระทำผิดต่อพนักงานสอบสวน (กองบังคับการปราบปรามการ
กระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ หรือ กรมสอบสวนคดีพิเศษ) จากนั้นพนักงานสอบสวนจะรวบรวมหลักฐานและเสนอความเห็นไปยังพนักงานอัยการ ซึ่งพนักงานอัยการจะพิจารณาคดีและตัดสินใจว่า “จะสั่งฟ้อง หรือไม่ฟ้องผู้ต้องหา” หากมีการฟ้อง ศาลยุติธรรม (มี 3 ชั้น คือ ศาลชั้นต้น ศาลอุทธรณ์ และศาลฎีกา) จะเป็นผู้พิจารณาและพิพากษาคดีต่อไป
>> การดำเนินมาตรการลงโทษทางแพ่ง <<
เป็นทางเลือกในการบังคับใช้กฎหมายเพิ่มเติมจากการดำเนินคดีอาญาเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการบังคับใช้กฎหมายให้รวดเร็วมากขึ้น
สำหรับความผิดด้านหลักทรัพย์ (กฎหมายหลักทรัพย์ มาตรา 317/1) และสินทรัพย์ดิจิทัล (กฎหมายการประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล มาตรา 96) ที่ใช้มาตรการลงโทษทางแพ่งได้ เช่น การกระทำที่ไม่เป็นธรรมในการซื้อขาย
(เช่น การใช้ข้อมูลภายใน, การสร้างราคา, การแสดงข้อมูลเท็จ) และการยินยอมให้บุคคลอื่นใช้บัญชีซื้อขาย
เป็นต้น
เมื่อ ก.ล.ต. พบการกระทำผิด และเห็นว่าจะดำเนินมาตรการลงโทษทางแพ่ง ก.ล.ต. จะเสนอเรื่องให้ “คณะกรรมการพิจารณามาตรการลงโทษทางแพ่ง” หรือ “ค.ม.พ.” ประกอบด้วย อัยการสูงสุด ปลัดกระทรวงการคลัง อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย และเลขาธิการ ก.ล.ต. พิจารณาว่าสมควรใช้มาตรการลงโทษทางแพ่งกับผู้กระทำผิดหรือไม่ และลงโทษด้วยมาตรการใดบ้าง
ถ้าผู้กระทำความผิดไม่ยินยอมปฏิบัติตามมาตรการลงโทษทางแพ่งที่ ค.ม.พ. กำหนด ก.ล.ต. จะฟ้องศาลแพ่ง
เพื่อให้ศาลกำหนดมาตรการลงโทษทางแพ่งแก่ผู้กระทำผิด ซึ่งศาลสามารถกำหนดดอกเบี้ยได้ตั้งแต่วันที่ฟ้องจนกว่าจะชำระแล้วเสร็จ โดยศาลแพ่งจะใช้วิธีการพิจารณาคดีตามกระบวนการของศาลแพ่งในการตัดสิน